Google+

สารจากผู้บริหาร เรามุ่งเป็นผู้นำการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนในอาเซียน

 เอส.ที.ไรซิ่งเชื่อมั่นว่าความร่วมมือของกลุ่มประเทศอาเซียนในการมุ่งสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนจะส่งผลดีต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันจึงมุ่งมั่นที่จะขยายธุรกิจในปี 2558 ไปยังกลุ่มอาเซียนโดยเฉพาะประเทศเวียดนามลาวพม่าและกัมพูชาพร้อมทั้งสร้างเครือข่ายการค้าและการลงทุนเพื่อพร้อมรับมือกับการจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในอนาคต

จากประสบการณ์ดำเนินธุรกิจภายในประเทศมากว่า 11 ปีเอส.ที.ไรซิ่งได้มีการลงทุนอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2544 เป็นต้นมา 

สำหรับธุรกิจของเอส.ที.ไรซิ่งภายในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2553 มีรายได้จากการขายเฉลี่ย  23 ล้านบาทซึ่งเติบโตก้าวกระโดดจาก16 ล้านบาทปี 2552 เพิ่มขึ้นร้อยละ 30 จากปีก่อนปัจจุบันเอส.ที.ไรซิ่งมีสินทรัพย์รวมมูลค่า 30 ล้านบาทจึงเป็นความภาคภูมิใจของพนักงานทั้งองค์กรที่เริ่มต้นกิจการจากเงินทุนเพียง 70,000 บาทซึ่งเป็นแรงพลักดันให้บริษัทก้าวไปข้างหน้าต่อไป

 

 

ส่งเสริมงานวิจัยและพัฒนาตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคด้วยการตลาดแนวสร้างสรรค์

 

 เอส.ที.ไรซิ่งให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2552 เอส.ที.ไรซิ่งได้ลงทุนและใช้จ่ายเพื่อการวิจัยและพัฒนาประมาณปีละ 1-2 ล้านบาทเพื่อมุ่งพัฒนาสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูงและสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอาทิผลิตภัณฑ์กระดาษป้องกันสนิมโลหะเป็นผลิตภัณฑ์ประเภท Nano Coating ใช้ทดแทน Parcoat(ซิงค์ฟอสเฟต)เพื่อให้ลูกค้าได้มีส่วนร่วมในการรักษาสิ่งแวดล้อม และในปีนี้ทางเอส.ที.ไรซิ่งกำลังดำเนินการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ประเภทฟิล์มพลาสติกชีวภาพกันสนิมร่วมกับสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ

 นอกจากนั้นเอส.ที.ไรซิ่งยังมุ่งให้ความสำคัญกับความต้องการของผู้บริโภคเพื่อตอบสนองทุกความต้องการและตอกยํ้าความเป็นผู้นำการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนภายในประเทศในปี 2555 เอส.ที.ไรซิ่งมุ่งพัฒนาการตลาดแนวสร้างสรรค์เพื่อเพิ่มคุณค่าในวันนี้และวันหน้าสำหรับทุกคนมุ่งตอบสนองความต้องการของลูกค้าด้วยนวัตกรรมสินค้าและบริการที่เหนือกว่าและคำนึงถึงการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีและสังคมที่ยั่งยืน

 

สานต่อแนวคิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนผสานความร่วมมือสร้างคุณค่าให้ชุมชน

 เอส.ที.ไรซิ่งดำเนินธุรกิจตามแนวทางหลักธรรมาภิบาลเพื่อเป็นการพัฒนาอย่างยั่งยืนโดยคำนึงถึงผู้มีส่วนได้เสียคือพนักงานลูกค้าชุมชนผู้รับเหมาภาครัฐและสถาบันการเงินร่วมถึงให้ความสำคัญทางด้านเศรษฐกิจสังคมและสิ่งแวดล้อมโดยเลือกใช้เทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมพร้อมทั้งร่วมมือกับองค์กรต่างๆในการยกระดับคุณภาพชีวิตของพนักงานชุมชนรอบข้างและสังคมโดยรวมโดยในปี 2555 เอส.ที.ไรซิ่งได้เข้าร่วมดำเนินโครงการพัฒนาโรงงานอุตสาหกรรมให้มีความรับผิดชอบต่อสังคมอย่างมีส่วนร่วม (CSR-DIW)ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2(จากปี 2552) ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้บริหารทั้งภาครัฐภาคธุรกิจภาคการศึกษาองค์กรอิสระเพื่อถ่ายทอดประสบการณ์การบริหารจัดการด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืนและต่อเนื่องซึ่งเป็นที่ยอมรับและเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนร่วมกันหาแนวทางลดผลกระทบต่างๆด้วยการนำแนวคิดเรื่องการพัฒนาอย่างยั่งยืนและต่อเนื่องมาใช้เป็นกลยุทธ์ที่สำคัญในการดำเนินธุรกิจซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจให้เจริญก้าวหน้าพร้อมสร้างสมดุลทั้งด้านเศรษฐกิจสังคมและสิ่งแวดล้อม

 

บริหารจัดการเพื่อความต่อเนื่องของธุรกิจแม้ในภาวะวิกฤต

 วิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่เปิดกิจการและทางบริษัทฯสามารถรับมือปรับตัวและรอดพ้นดังนี้

๒๕๔๙ ► เกิดรัฐประหารในประเทศไทย 

๒๕๕๐เกิดวิกฤตการเงินเกิดภาวะเงินเฟ้อต่อเนื่องจากปี๒๕๔๙

๒๕๕๑เกิดปัญหาเศรษฐกิจวิกฤติสินเชื่อด้อยคุณภาพ (คนไทยเรียกว่าวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์)

๒๕๕๒ ► เกิดวิกฤตเศรษฐกิจรถยนต์โลก

๒๕๕๔- ๒๕๕๕เกิดวิกฤตสภาวะน้ำท่วมช่วงประมาณตุลาคม 2554 - เมษายน 2555

 

 ในช่วงปลายปี2554 ประเทศไทยประสบวิกฤตอุทกภัยอย่างรุนแรงสร้างความเสียหายและส่งผลกระทบในวงกว้างอย่างไรก็ตามเอส.ที.ไรซิ่งสามารถรับมือกับสถานการณ์ได้เป็นอย่างดีโดยหน่วยงานบริหารจัดการเพื่อความต่อเนื่องของธุรกิจได้ติดตามข้อมูลข่าวสารจากแหล่งข้อมูลต่างๆอย่างใกล้ชิดและรอบด้านนำมาวิเคราะห์และประเมินสถานการณ์เพื่อวางแผนเตรียมความพร้อมและตัดสินใจดำเนินการได้อย่างถูกต้องเหมาะสมพร้อมทั้งให้ความช่วยเหลือพนักงานและครอบครัวรวมทั้งประชาชนในชุมชนโดยวางแนวทางการช่วยเหลือผู้ประสบภัยนํ้าท่วมอย่างเข้มแข็งและเป็นรูปธรรม 4 แนวทางได้แก่จัดหาวัสดุป้องกันน้ำท่วมบรรเทาความเดือดร้อนเร่งฟื้นฟูหลังน้ำลดและพัฒนานวัตกรรมเพื่อรับมือภัยพิบัติในอนาคต

 เอส.ที.ไรซิ่งขอขอบคุณทุกความห่วงใยจากผู้ลงทุนและคู่ค้าทางธุรกิจรวมทั้งขอเป็นกำลังใจให้กับพี่น้องชาวไทยทุกคนที่ร่วมกันฝ่าวิกฤตและยืนหยัดอยู่เคียงข้างกันเอส.ที.ไรซิ่งเชื่อมั่นว่าความร่วมมือของทุกภาคส่วนจะช่วยฟื้นฟเศรษฐกิจเยียวยาสังคมและพัฒนาสิ่งแวดล้อมให้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิมได้และจะร่วมกันพัฒนาประเทศไทยให้เติบโตอย่างมั่นคงยิ่งขึ้น

Visitors: 9,402,239